วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

การศึกษาพหุวัฒนธรรม

                  พหุวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย ที่มีมีชุมชนชาวจีน  เขมร เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยสุโขทัย   หรือเหตุการณ์ปัจจุบันที่มีการต่อต้านของการกรณีชาวโรฮิงญาขอใช้ประเทศไทยเป็นที่พำนักก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม  เหตุการณ์นี้แสดงถึงทัศนคติของคนที่มีต่อคนอื่นที่มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ สัญชาติ  สีผิว  ภาษา  หรือเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  ชาวชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยทั่วประเทศโดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน การนำวัฒนธรรมหลักเพียงวัฒนธรรมเดียวเข้าไปกำหนดทิศทางของการศึกษา โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง  ขัดแย้งกับหลักการของการศึกษา  จำเป็นอย่างยิ่งที่นักการศึกษาควรมีความรู้ความเข้าใจและมีความสามารถจัดการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ  พหุวัฒนธรรมนำไปสู่ผู้เรียนได้   

มิติของการศึกษาพหุวัฒนธรรม
                Banks(1997) แบ่งมิติของการศึกษาพหุวัฒนธรรมออกเป็น 5 มิติดังต่อไปนี้
                1. บูรณาการเนื้อหาความรู้ (Content Integration) หมายถึง การจัดการศึกษาที่มีการบูรณาการเนื้อหาและข้อมูลต่างๆ ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นข้อมูลและเนื้อหาที่สะท้อนถึงกลุ่มคนทางสังคม  นอกจากนี้การบูรณการด้านความรู้นั้นควรเริ่มต้นที่การสร้างให้เกิดความเข้าใจพื้นฐานทางด้านประวิติศาสตร์ของชาติพันธุ์ต่างๆ ในสังคม
                2. การสร้างความรู้ (Knowledge construction) หมายถึงกระบวนการที่อธิบายถึงการสร้างความรู้ที่เชื่อมโยงกับมิติทางสังคมหรือวิทยาศาสตร์  เมื่อแนวคิดดังกล่าวถูกใช้ในการเรียนการสอน  กระบวนการสร้างความรู้จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงที่มาที่ไปของความรู้ที่ถูกสร้างขึ้น  รวมถึงการอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจถึงอิทธิพลของกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติสัญชาติ  และชนชั้นทางสังคมว่ามีผลต่อการสร้างความรู้อย่างไร
                3. การลดอคติ เป็นมิติและกระบวนการที่อธิบายถึงกลยุทธ์ในการเรียนการสอนที่ถูกใช้เพื่อเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวก  เพื่อให้ผู้เรียนมีแนวคิดประชาธิปไตย  รวมถึงการสร้างให้เกิดคุณค่าต่างๆ ให้เกิดขึ้น  ซึ่งได้แก่แนวคิดเชิงบวกต่อเชื้อชาติที่แตกต่างกัน
                4. การใช้วิธีสอนที่ส่งเสริมความเท่าเทียม หมายถึงใช้เทคนิค  วิธีสอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้  ไม่ว่าผู้เรียนนั้นจะมีความแตกต่างกันทางด้านเชื้อชาติ  สัญชาติ หรือชนชั้นทางสังคม  ผู้เรียนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะต้องได้รับการส่งเสริมใส่ใจอย่างเท่าเทียม  ดังนั้นผู้สอนหรือผู้บริหารต้องสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันในการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จหรือช่วยยกระดับความสำเร็จทางการเรียน
                5. การให้ความสำคัญวัฒนธรรมโรงเรียน  หมายถึงกระบวนการในการสร้างวัฒนธรรมและสร้างองค์การให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้ผู้เรียนที่มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ  ชาติพันธุ์  ภาษาและกลุ่มชนชั้นทางสังคมได้รับประสบการณ์ทางการศึกษาที่มีคุณภาพ

ประเภทของหลักสูตรการศึกษาพหุวัฒนธรรมและการประยุกต์ใช้
                Banks แบ่งหลักสูตรการศึกษาพหุวัฒนธรรมแบ่งได้เป็น  รูปแบบ คือ
                1. รูปแบบกระจายเนื้อหาโดยจะให้ความสำคัญกับลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม  ได้แก่  วีรบุรุษ วีรสตรี วันหยุดสำคัญ เรื่องเล่า อาหาร และเสื้อผ้าและเครื่องแต่งการ  แนวคิดนี้จะให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ดังกล่าวข้างต้นแต่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรหลักการที่มีการใช้อยู่  ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวนี้ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมเน้นการพยายามสร้างความเข้าใจกับวัฒนธรรมอื่นๆ  แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นที่เป็นความขัดแย้งที่แท้จริงทางวัฒนธรรม  รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับพลังอำนาจและความไม่ยุติธรรมที่มีอยู่ในสังคม
                2. แบบเพิ่มเติมเนื้อหา  รูปแบบนี้จะเป็นการเปิดกว้างมากขึ้น  โดยเป็นการเพิ่มเติมประเด็นเนื้อหาในหลักสูตรหลัก  เป็นการนำวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งไปเชื่อมโยงกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง  ทั้งนี้วัฒนธรรมที่ถูกนำมาเชื่อมโยงจะเป็นวัฒนธรรมย่อยที่ต้องการนำเสนอให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม  ตัวอย่างเช่น  การนำเสนอวัฒนธรรมไทย-จีนเชื่อมโยงกับรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย  ถึงแม้จะเป็นการเปิดกว้างวัฒนธรรมอื่น  แต่มุมมองสำคัญยังคงให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมหลัก
                3. รูปแบบการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา  รูปแบบนี้เปิดกว้างมากกว่ารูปแบบที่สอง  โดยมีการยอมรับแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปจากวัฒนธรรมหลัก  มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในหลักสูตรเพื่อให้เกิดการยอมรับและเข้าใจความแตกต่าง  เน้นการคิดวิเคราะห์และให้เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม  อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้ต้องอาศัยการปรับปรุงหลักสูตรย่อยไปสนับสนุนหลักสูตรที่มีอยู่แล้วรวมถึงการจัดการฝึกอบรมเพื่อให้เข้าใจเนื้อหา  รวมถึงการพัฒนาวัสดุอุปกรณ์การเรียนรู้  เทคโนโลยีและระบบที่เหมาะสม
                4. รูปแบบการปฏิบัติทางสังคม รูปแบบนี้จะเชื่อมโยงกับรูปแบบที่สาม คือมีการส่งเสริมให้เกิดมุมมองที่หลากหลายและมีความตระหนักต่อวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน  และมุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติ โดนมุมมองเหล่านี้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และการสร้างความรู้โดยอิสระ  เพื่อให้เห็นถึงความตระหนักและความสำคัญของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง  เช่น ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงและมอบหมายให้นักเรียนออกแบบกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้ความช่วยเหลือ  บรรเทาทุกข์บุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ  เป็นต้น  รูปแบบนี้จะเน้นการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจของตัวผู้เรียนเอง  และรูปแบบดังกล่าวนี้ต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาในหลักสูตรให้มีความเหมาะสม

ทิศทางใหม่การศึกษาพหุวัฒนธรรม

                การจัดการศึกษาพหุวัฒนธรรม จะเข้าบทบาทในปัจจุบันเนื่องจากสภาพทางสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง  ประชาชนสามารถเคลื่อนย้ายไปยังส่วนต่างๆของโลกได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น  แต่ประชาชนเหล่านั้นยังคงวัฒนธรรมเดิมของตนเองไว้ท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมหลัก  ดังนั้นมีหลักสำคัญที่จะต้องศึกษาอย่างน้อย 3 ประการคือ   
                1) แนวคิดหรือมโนทัศน์(Idea or concept)  แนวคิดทางพหุวัฒนธรรมจะต้องเพื่อผู้เรียนทุกคน โดยไม่แบ่งแยก เพศ ชนชั้นทางสังคม กลุ่มชน เชื้อชาติ หรือลักษณะทางวัฒนธรรม จะต้องมีความเท่าเทียมกันในโอกาสที่จะได้รับการเรียนรู้ในสถานศึกษา และมุ่งให้ผู้เรียนได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดในสถานศึกษา       
                2) แนวทางการปฏิรูปทางการศึกษา(Educational reform movement) การจัดการศึกษาตามแนวทางพหุวัฒนธรรมเป็นแนวทางในการปฏิรูปทางการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องยากมากในการที่จะเปลี่ยนแปลงสถาบันการศึกษาซึ่งมีผู้เรียนจำนวนมาก หลากหลายชนชั้น มีความแตกต่างทางเพศ เชื้อชาติ และวัฒนธรรม ให้มีโอกาสที่เท่าเทียมกันทางการศึกษา ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษาตามแนวการศึกษาพหุวัฒนธรรมจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการศึกษาของสถานศึกษาในลักษณะองค์รวม ไม่ได้จำกัดเฉพาะการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเท่านั้น   
                3) กระบวนการทางการจัดการศึกษาตามแนวทางพหุวัฒนธรรม (process)

 มีเป้าหมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาที่มีเสรีภาพและความยุติธรรม จะต้องมีการขจัดความคิดที่เป็นอคติและการแบ่งแยกของกลุ่มต่าง ๆ ในผู้เรียนให้หมดไป โดยเป็นกระบวนการที่จะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความเท่าเทียมกันทางการศึกษาแก่ผู้เรียนทุกคน

การบูรณาการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

ความสำคัญของการบูรณาการเรื่องอาเซียนศึกษากับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
          การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จะทำให้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น สามารถนำความรู้ความเข้าใจดังกล่าวไปใช้อย่างมีเหตุผล  สร้างสรรค์และมีคุณธรรม ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการแสวงหาความรู้และสร้างองค์ความรู้  โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการแก้ปัญหาอย่างหลากหลาย  ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้  มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง  นำความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ เพื่อสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข  การเข้าร่วมประชาคมอาเซียนทำให้ผู้เรียนต้องตระหนักในการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน โดยควรมีความเข้าใจว่าการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นก่อให้เกิดประโยชน์  ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในหลายด้านทั้งการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรมอันจะส่งต่อเศรษฐกิจของประเทศและประชาคมอาเซียน ในขณะเดียวกันผู้เรียนต้องตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมิใช่แค่ในประเทศไทยและหากส่งผลกระทบภูมิภาคอาเซียนด้วย 

          ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ควรบูรณาการเรื่องอาเซียนศึกษา  จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายมากขึ้น ได้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างความรู้วิทยาศาสตร์ในห้องเรียนและสิ่งที่ปรากฏในชีวิตจริงให้เห็นอย่างชัดเจน   ทั้งนี้ผู้เขียนจะนำเสนอแนวทางการบูรณการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์  ความสอดคล้องสาระอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์  การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้มีความเข้าใจในการบูรณการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ต่อไป

แนวทางการบูรณาการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์
          การบูรณาการนั้นมีหลายรูปแบบ สำหรับการบูรณาการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์นั้นทำได้ผู้เขียนจะเลือกการบูรณาการเนื้อหาโดยผู้สอนคนเดียว จัดการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงทั้งเนื้อหาสาระ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริง เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของกลุ่มสาระต่างๆ เช่น การอ่าน  การเขียน การคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรู้ตามหัวข้อที่กำหนด โดยการบูรณาการอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์สามารถดำเนินการดังนี้ 
          ขั้นที่ 1 วิเคราะห์ตัวองค์ความรู้ ตามตัวชี้วัดและมาตรฐานการเรียนรู้กำหนดไว้ โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างสาระอาเซียนศึกษาและสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
          ขั้นที่ 2 ออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากแนวทางดังนี้
                   - มีความน่าสนใจสาหรับผู้เรียน
                   - สามารถเรียนรู้ได้ง่าย
                   - จัดสาระการเรียนรู้ให้เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก และมีความต่อเนื่อง
                   - จัดสาระการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับกลุ่มวิชาอื่นๆ
                   - เลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด ว่ามุ่งไปในทิศทางใด
                   - ควรเน้นกิจกรรมที่ทำงานเป็นทีมมากกว่ารายบุคคล
                   - กิจกรรมที่ปฏิบัติควรสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน และชีวิตจริง
                   - กิจกรรมที่ปฏิบัติมีทั้งในและนอกห้องเรียน
                   - เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกฝนและถ่ายทอดการเรียนรู้ไปสู่ สถานการณ์ใหม่ๆ พร้อมทั้งทำให้เกิดความจำระยะยาว
                   - ตรวจสอบความเข้าใจ โดยให้ผู้เรียนสรุปรวมทั้งส่งเสริมให้ เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้และที่จะเรียนต่อไป
          ขั้นที่ 3 ประเมินผล การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จะบรรลุผลตามเป้าหมายของการเรียนการสอนที่วางไว้ ควรมีแนวทางดังต่อไปนี้
                   - ต้องวัดและประเมินผลทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะ/กระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในวิทยาศาสตร์ รวมทั้งโอกาสในการเรียนรู้ของผู้เรียน
                   - วิธีการวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
                   - ต้องเก็บข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา และต้องประเมินผลภายใต้ข้อมูลที่มีอยู่
                   - ผลการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องนำไปสู่การแปลผลและลงข้อสรุปที่สมเหตุสมผล
                   - การวัดและประเมินผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทั้งในด้านของวิธีการวัด โอกาสของการประเมิน

การวิเคราะห์ความสอดคล้องสาระอาเซียนศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
          จากศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ Asean Curriculum Source Book พบว่า สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สามารถบูรณาการกับสาระอาเซียนศึกษามี  3 สาระ คือ     
          สาระที่ 1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ว่าด้วยเรื่อง สิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต และกระบวนการดำรงชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การถ่ายทอดทางพันธุกรรม การทำงานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต วิวัฒนาการและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และเทคโนโลยีชีวภาพ
          สาระที่ 2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยเรื่องสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายรอบตัว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในระดับท้องถิ่น ประเทศ และโลก ปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ


          สาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ว่าด้วยเรื่องโครงสร้างและองค์ประกอบของโลก ทรัพยากรทางธรณี สมบัติทางกายภาพของดิน หิน น้ำ อากาศ สมบัติของผิวโลก และบรรยากาศ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
          เมื่อพิจารณาจะพบว่า 3 สาระนี้มีลักษณะร่วมกันคือเป็นการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยพิจารณาในภาพรวมหรือโลกทั้งระบบ ดังนั้นอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของโลกจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบและรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อวิเคราะห์จากตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้รายปีพบว่าสามารถบูรณาการในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 – ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 และรายช่วงชั้นในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ได้ดังตาราง 1

ตาราง 1  ความสอดคล้องของ สาระ  ระดับชั้นและสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่สามารถบูรณาการเข้ากับความรู้อาเซียน

สาระที่
ระดับชั้น
สาระการเรียนรู้
ป.4
ป.5
ป.6
ม.1
ม.2
ม.3
ม.4-6
1 สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต 





P

ระบบนิเวศ

P




P
ความหลากหลายทางชีวภาพ
2 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 


P




แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ





P

- ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
- การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง






P
การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก


P




ธรณีพิบัติภัย



P



การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ




P


ทรัพยากรน้ำ






P
พิบัติภัย
8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 
P
P
P
P
P
P
P
โครงงานวิทยาศาสตร์
         
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
          จากการวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ที่สามารถนำมาบูรณาการกับอาเซียนศึกษา
ในสาระที่ 6 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
          ความสัมพันธ์ของตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนด และสาระการเรียนรู้บูรณาการกับอาเซียน  แสดงดังตาราง 2 จากนั้นออกแบบการจัดการเรียนรู้และการวัดผลและประเมินผล ดังตัวอย่าง
แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง  แหล่งน้ำ

ตาราง 2 ความสัมพันธ์ของตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนด และสาระการเรียนรู้บูรณาการกับอาเซียน

ตัวชี้วัด
สาระการเรียนรู้ที่
สถานศึกษากำหนด
สาระการเรียนรู้บูรณาการกับอาเซียน
6.1
ม.2/7
7. สำรวจและอธิบายลักษณะแหล่งน้ำธรรมชาติ   การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์แหล่งน้ำในท้องถิ่น
- แหล่งน้ำบนโลก มีทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม โดยแหล่งน้ำจืดมีอยู่ทั้งบนดิน  ใต้ดิน และในบรรยากาศ
- การใช้ประโยชน์ของแหล่งน้ำ ต้องมีการวางแผนการใช้  การอนุรักษ์  การป้องกัน  การแก้ไข และผลกระทบ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
- แหล่งน้ำบนโลก มีทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม โดยแหล่งน้ำจืดมีอยู่ทั้งบนดิน  ใต้ดิน และในบรรยากาศ โดยแหล่งน้ำในกลุ่มประเทศอาเซียนมีปริมาณน้ำที่สามารถใช้ได้แตกต่างกัน เนื่องมาจากปริมาณหยาดน้ำฟ้าและสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศ และน้ำมีความสำคัญมากจึงต้องมีการวางแผนการใช้  การอนุรักษ์  การป้องกัน  การแก้ไข และผลกระทบ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม

แผนการจัดการเรียนรู้

กลุ่มสาระการเรียนรู้    วิทยาศาสตร์                                              ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  2     
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ทรัพยากรธรรมชาติ                                         เวลา  15  ชั่วโมง
เรื่อง  แหล่งน้ำ                                                                     เวลา     5   ชั่วโมง
วันที่.........เดือน................................................... ภาคเรียนที่..........ปีการศึกษา....................
           
มาตรฐานการเรียนรู้
          มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของกระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตัวชี้วัด
          สำรวจและอธิบายลักษณะแหล่งน้ำธรรมชาติ  การใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์แหล่งน้ำในท้องถิ่น

ความคิดรวบยอด 
          น้ำเป็นสิ่งจำเป็นของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มนุษย์ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค  รวมไปถึงนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกพื้นที่ทุกประเทศที่มีน้ำใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนการจัดสรรทรัพยากรน้ำไปยังพื้นที่แห้งแล้ง และอนุรักษ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนต่อไป

จุดประสงค์การเรียนรู้
          หลังจากเรียนจบเรื่องนี้แล้วนักเรียนสามารถ
          1. ระบุการใช้น้ำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันได้ (K)
          2. สำรวจ สังเกต และระบุแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ในท้องถิ่น ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนได้ (P)
          3. อธิบายผลของปริมาณหยาดน้ำฟ้าและอุณหภูมิ ที่มีต่อปริมาณน้ำที่สามารถใช้ได้ของกลุ่มประเทศอาเซียนได้ (K)
          4. วางแผนการอนุรักษ์และจัดสรรทรัพยากรน้ำไปยังพื้นที่แห้งแล้งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนได้ (K)
          5. ให้ความร่วมมือกันในการทำงานเป็นกลุ่ม  มีความเพียรพยายามต่อการปฏิบัติงาน  มีเหตุผล  และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น (A)

สาระการเรียนรู้
          1) แหล่งน้ำธรรมชาติในท้องถิ่น และกลุ่มประเทศอาเซียน
          2) ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณน้ำที่ใช้ได้ในกลุ่มประเทศอาเซียน
          3) การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

แนวทางการจัดกิจกรรม
          1. ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้เดิมโดยตอบคำถามและอภิปรายในประเด็นต่อไปนี้
                   - ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติใดที่มีความอุดมสมบูรณ์และชนิดใดที่ขาดแคลน
                   - ทรัพยากรธรรมชาติใดที่มีความจำเป็นต่อทุกประเทศ
                   - นักเรียนคิดว่าน้ำมากจากแหล่งใดบ้าง
          2. จัดกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4-5 คน ให้นักเรียนศึกษาแผนที่แสดงแหล่งน้ำในประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เปรียบเทียบพื้นที่แหล่งน้ำของแต่ละประเทศ อภิปรายว่าประเทศใดที่ขาดแคลนแหล่งน้ำและอุดมสมบูรณ์
          3. นักเรียนแต่ละกลุ่มระบุการใช้น้ำทำกิจกรรมต่างในชีวิตประจำวันอย่างไรและประมาณเท่าไหร่ คำนวณปริมาณน้ำที่ใช้ต่อคนต่อสัปดาห์ (อาจให้คำนวณจากประชากรแต่ละประเทศเพื่อแสดงปริมาณความต้องการน้ำในปริมาณมาก) แต่ละกลุ่มออกมานำเสนองาน อภิปรายเพื่อสรุปปริมาณน้ำที่ใช้ต่อคนต่อสัปดาห์
          4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงที่มาของน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันว่ามาจากแหล่งใดบ้าง จัดทำรายการที่มาของน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
          5. วิเคราะห์แผนที่แสดงปริมาณหยาดน้ำฟ้าของกลุ่มประเทศอาเซียน และแผนที่แสดงอุณหภูมิของกลุ่มประเทศอาเซียน อภิปรายผลของปริมาณหยาดน้ำฟ้าและอุณหภูมิที่มีต่อพื้นที่ที่ชุ่มชื้นและแห้งแล้งของกลุ่มประเทศอาเซียน
          6. ออกไปสำรวจแหล่งน้ำในท้องถิ่น และให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนแผนที่แหล่งน้ำในท้องถิ่น แต่ละกลุ่มวางแผนเพื่ออนุรักษ์แหล่งน้ำในท้องถิ่น และนำเสนองานหน้าชั้นเรียน

สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้
          1. แผนที่แสดงแหล่งน้ำในประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
          2. แผนที่แสดงปริมาณหยาดน้ำฟ้าของกลุ่มประเทศอาเซียน
          3. แผนที่แสดงอุณหภูมิของกลุ่มประเทศอาเซียน
          4. แหล่งน้ำในท้องถิ่น

 การวัดผลและประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
วิธีการวัด
เครื่องมือวัด
เกณฑ์
1.ด้านความรู้(K)
- ตรวจสมุดบันทึกการเรียนรู้
- ตรวจแบบฝึกหัด
- ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
แบบประเมิน

- แบบฝึกหัด
- แบบทดสอบหลังเรียน
-ร้อยละ 80 ผ่าน เกณฑ์

-ร้อยละ 80 ผ่าน เกณฑ์
-ร้อยละ 70 ผ่าน เกณฑ์

2.ด้านทักษะกระบวนการ(P)
สังเกตขณะปฏิบัติกิจกรรม
แบบประเมิน
ระดับคุณภาพปานกลางผ่าน เกณฑ์
3.ด้านเจตคติ ค่านิยม คุณธรรมจริยธรรม(A)

- สังเกตขณะปฏิบัติกิจกรรม
แบบประเมิน
ระดับคุณภาพปานกลางผ่าน เกณฑ์

สรุป
          การบูรณาการอาเซียนศึกษาในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ   ทั้งนี้การบูรณาการเนื้อหาโดยผู้สอนคนเดียวมีแนวทางการบูรณาการคือวิเคราะห์องค์ความรู้และความสอดคล้องระหว่างสาระทั้งสอง โดยสาระที่มีความสอดคล้องได้แก่ สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต  ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมและกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก จากนั้นพิจารณาตัวชี้วัด  กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมกับนักเรียน จัดกิจกรรมการเรียนรู้และวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนต่อไป